:: พื้นที่รวบรวมงานเขียนเก็บเล็กผสมน้อยเป็นไทม์แมชชีนความรู้สึกของวันวาน ::
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556
Like Father, Like Son / Catching Fire : โครงสร้างเปราะบางรอเวลาล่มสลาย
(เปิดเผยเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Like Father, Like Son และ The Hunger Game: Catching Fire)
สองเรื่องสองรสในวันเดียวกัน แต่น่าแปลกที่กลับเห็นอะไรบางอย่างร่วมกันอยู่
ว่าด้วย Like Father, Like Son เสียก่อน ก็ถึงว่าทำไมกลิ่นของ Nobody Knows มันแรงซะจนรู้สึกได้ เดินมาดูโปสเตอร์หน้าโรงถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้ก็เป็น Hirokazu Kore-eda ผู้กำกับคนเดียวกันนี่เอง ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องเนิบช้าไม่มีจุดพีกเหมือนไม่อยากเล่าเรื่อง (ฮา) แต่ให้คนดูซึมซับกับความรู้สึกแบบ "แช่อิ่ม" ไปตามภาพโทนนวลตา และเสียงเพลงประกอบนุ่มหู ซึ่งไม่เหมาะเลยกับเด็กที่โตมากับทุนนิยมอย่างเราผู้ชมชอบหนังที่ตัดชั้บชั้บให้ตื่นเต้นและรวดเร็วเพื่อเพิ่มรอบฉาย (ฮา) ถ้าไม่คิดว่ามันเป็นสไตล์ผู้กำกับที่ชอบเล่าเรื่องเนิบ ๆ อาจจะคิดไปได้ว่า Hirokazu เกลียดเจ้าทุนนิยมมากถึงขนาดเอาความเนิบช้าซึ่งเป็นปฏิปักษ์ของทุนนิยมมาใช้ในหนังที่เสนอแนวคิดต้านทุนนิยมทั้งเรื่องนี้และ Nobody Knows ก็เป็นได้ (ฮา อ้าว ไม่ฮาเหรอ)
จะว่าไป Like Father, Like Son ก็คล้าย ๆ จะเป็นภาคต่อของ Nobody Knows แต่คราวนี้ขยับขยายมาเล่าเรื่องของครอบครัวที่เหมือนจะสมบูรณ์พร้อมกันดูบ้าง กับพล็อตเรื่องแสนเชยหนังเกาหลีมาก ๆ อย่างการสลับลูกในโรงพยาบาล เอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอมอยู่ได้ตั้ง 6 ปีกว่า ๆ เหมือนคำถามสำคัญของหนังจากตัวอย่างหนัง หรือในบทวิจารณ์มากมายจะถามว่า คุณจะเลือกอะไรระหว่างสายเลือดกับความผูกพัน แต่ที่จริงแล้วนั่นน่าจะเป็นคำถามรอง ๆ ของหนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เพราะการเดินเรื่องทั้งหมดของ Like Father, Like Son คือการสะท้อนภาพครอบครัวที่กำลังจะล่มสลายในอีกมุมหนึ่งต่อจาก Nobody Knows เมื่อสังคมญี่ปุ่นถูกขับเคลื่อนด้วยทุนนิยมเต็มรูปแบบ ใช่จะมีแต่บรรดาผู้แพ้เท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้เป็นขยะอยู่เบื้องล่าง แม้แต่คนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกทุนนิยมก็ไม่ควรลืมทบทวนตัวเองว่านี่คือชัยชนะแน่หรือ?
หนังให้ภาพของสองครอบครัวที่ต่างกันสุดขั้ว หนึ่งคือครอบครัวโนโนมิยะที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างในความหมายของโลกทุนนิยม ด้วยภาพของคอนโดสุดหรู เดินทางด้วยรถสุดเริ่ด (ภาษีรถยนต์ส่วนตัวในญี่ปุ่นแพงมาก ใช่ว่าใครจะมีรถยนต์ไว้ขับได้ง่าย ๆ แถมยังเป็นรถ Lexus อีกตะหาก ไม่ใช่ระดับ CEO หรือพวกประธานบริษัทรสนิยมสุดหรูนี่นั่งไม่ได้นะฮะ 55) ลูกชายสุดที่รักสอบเข้าโรงเรียนดี ๆ แถมยังให้เรียนพิเศษเปียโนแบบไฮโซ ๆ ทว่าเมื่อมารู้ทีหลังว่าแท้จริงแล้วเคตะ ลูกที่พวกเขาเลี้ยงมา 6 ปีไม่ใช่ลูกของเขา และลูกแท้จริงของเขาชื่อริวเซ อยู่กับครอบครัวไซกิ เจ้าของร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้ากระจอก ๆ ในชนบท เรียวตะ โนโนมิยะผู้มีชีวิตเพอร์เฟคในโลกทุนนิยมถึงกับทนยอมรับความจริงไม่ได้ ตลอดเวลาเขามักจะมองครอบครัวไซกิด้วยสายตาหมิ่นหยามตลอดเวลา พาลพาโลคิดเอาว่าครอบครัวนี้ไม่มีปัญญาจะเลี้ยงลูกของเขาให้กลายมาเป็นคนดีได้ เรียวตะถึงขนาดเสนอว่าจะรับเลี้ยงเด็กทั้งสองคนเองโดยให้เหตุผลว่า "เพื่ออนาคตของเด็ก" ซึ่งเมื่อโดนหยามแบบนี้ มีหรือครอบครัวไซกิจะทนได้ แต่คำพูดของเรียวตะที่ดูถูกครอบครัวไซกิไว้ก็กลับมาทำร้ายตัวเขาเองเมื่อวันหนึ่งริวเซหนีออกจากคอนโดสุดหรูกลับมายังบ้านร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้ากระจอก ๆ ซึ่งดูจะเป็น "ที่พึ่งทางใจ" ของเด็กน้อยได้มากกว่า ครอบครัวไซกิได้ทีจึงใช้คำพูดของเรียวตะเองสวนกลับเขาไปว่า เดี๋ยวจะรับเลี้ยงไว้ทั้งสองคนเอง ชายหนุ่มผู้เคยชนะมาตลอดจึงต้องทบทวนตัวเองอีกครั้ง
ครอบครัวโนโนมิยะที่มีเรียวตะเป็นผู้นำ คือภาพของครอบครัวสมัยใหม่ในโลกของทุนนิยมเต็มรูปแบบ เรียวตะคือสถาปนิกหนุ่มอนาคตไกลผู้บันดาล House อันสวยงามได้แต่กลับไม่มีปัญญาจะเติมความอบอุ่นในซากของ House ให้กลายเป็น Home ได้ เห็นได้จากฉากแรก ๆ ที่เขาให้คำแนะนำรุ่นน้องเพื่อนสร้างแบบร่างชุมชนที่สมบูรณ์แบบ เขากำหนดแสงและองค์ประกอบทุกอย่างในแบบร่าง เช่นว่าตรงนี้ควรมีคนมาเดินออกกำลังกายหรือจูงหมาน่ารัก ๆ เพื่อให้รู้สึกถึงความอบอุ่น สำหรับเขาแล้ว ส่วนต่าง ๆ ในบ้านเป็นแค่องค์ประกอบที่ทำให้ความหมายของคำว่าบ้านเดินไปตามทฤษฎีเท่านั้น คุณยายของเคตะและครอบครัวไซกิยังพูดตรงกันโดยมิได้นัดหมายว่าบ้านของเรียวตะนั้นเหมือนโรงแรมมากกว่าบ้าน นั่นคือเป็นห้องที่เหมาะจะมาพักชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่เหมาะแก่การหยั่งรากชีวิต เช่นเดียวกับทุนนิยมที่พยายามลิดรอนอัตลักษณ์ให้เรา "ไร้รากเหง้า" มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจะหาวัตถุต่าง ๆ มาบริโภคเพื่อยึดเหนี่ยวหรือเติมเต็มจิตใจ
ทุกครั้งเมื่อเรียวตะกระแนะกระแหนครอบครัวไซกิเรื่องความขาดแคลนทางวัตถุ คำพูดนั้นก็มักจะเป็นหอกที่กลับมาทิ่มแทงตัวเขาเองว่าขาดแคลนสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจมากเพียงใด เช่นในฉากที่เคตะเล่าว่าไซกิ ยูดาอิ หรือไซกิผู้พ่อนั้นซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นทุกอย่าง เรียวตะจึงสวนไปว่า "อย่าลืมไปบอกเค้าซ่อมฮีตเตอร์ด้วยล่ะ" แต่เรียวตะอาจจะลืมไปว่าต่อให้ครอบครัวไซกิไม่มีฮีตเตอร์ แม้อากาศจะหนาวแต่บรรยากาศในบ้านก็อบอุ่น ไม่เหมือนฮีตเตอร์ราคาแพงของเรียวตะที่อาจให้อากาศอบอุ่น แต่บรรยากาศในบ้านหนาวเหน็บสิ้นดี
ความสามารถใน "การซ่อม" (Fixed) ของครอบครัวไซกิยังไม่ได้อยู่ที่การซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเท่านั้น ฉากหนึ่งที่ไซกิ ยูคาริเดินผ่านมาเห็นเคตะนั่งซึมอยู่มุมหนึ่งของบ้าน เธอจึงเข้าไปถามด้วยความห่วงใย ก่อนจะพูดว่า "แบบนี้ต้องซ่อมเธอแล้ว" โดยการจี้เส้นให้เคตะกลับมาหัวเราะสนุกสนานดังเดิม คำว่าการซ่อม ไม่ว่าใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือมนุษย์ ล้วนสวนทางกับวิถีบริโภคนิยมที่มุ่งเน้นให้คนบริโภคทรัพยากรมาก ๆ หากเกิด "สิ่งชำรุด" ขึ้น แทนที่มนุษย์สมัยใหม่จะเลือกซ่อม พวกเขากลับเลือก "ซื้อใหม่" หรือหาสิ่งใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเดิมเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจที่เรียวตะอุทานออกมาอย่างไม่ตั้งใจว่า "มิน่าล่ะ เขา (เคตะ) ถึง..." (ถึงไม่มีความสามารถ/พรสวรรค์เหมือนเรา?) เมื่อได้รู้ความจริงว่าเคตะไม่ใช่ลูก จึงสะท้อนความคิดในระดับจิตสำนึกของเรียวตะว่าไม่ได้มองเคตะในฐานะลูก หรือแม้แต่ในฐานะมนุษย์ด้วยซ้ำ ทว่ามองในฐานะวัตถุชิ้นหนึ่งที่จะมาเติมเต็มให้ชีวิตเขาสมบูรณ์แบบ แต่เคตะกลับเป็น "วัตถุชำรุด" ที่ทำให้ชีวิตเขาต้องแปดเปื้อนความล้มเหลว โดยที่เขาไม่สนใจจะ "ซ่อม" หรือดูแลความรู้สึกของเคตะในฐานะมนุษย์ด้วยซ้ำ แม้สุดท้ายเรื่องอาจจะจบอย่างสุขสันต์ แต่สำหรับเรียวตะที่เติบโตมาในโลกที่ซึมซับทุนนิยม/บริโภคนิยมเข้าไปอย่างเข้มข้น ในภายหลังเมื่อเรื่องเดินทางกลับมาที่จุดเดิม เคตะจะยังถูกมองเหมือนวัตถุที่ชำรุดอีกหรือไม่
ประเด็นอันแหลมคมของสังคมทุนนิยมยังสอดแทรกอยู่ในอีกหลายฉาก แต่ไม่มีฉากไหนจะเสียดสีได้รุนแรงและเจ็บแสบเท่าฉากที่เรียวตะพยายามสร้างบรรยากาศในบ้านให้อบอุ่น แต่พี่แกก็เล่นซื้อชุดแคมป์ปิ้งมาตั้งแคมป์ในคอนโด! ตกปลาบนฟ้า นอนเต้นท์ซึ่งกางอยู่ในคอนโดเปิดแอร์เย็นสบาย (แหมทุนนิยมนี่มันสบายจริง ๆ นะเทอว์) ยิ่งฉากนี้วางอยู่ท้ายเรื่อง บวกกับการพยายามสร้างให้ฉากนี้เหมือนเป็น "ฉากที่มีความสุข" ด้วยเพลงอบอุ่น ๆ ภาพสโลว์ให้เห็นรอยยิ้ม ยิ่งขับเน้นให้เห็น "ความสุข" ที่สุดแสนจอมปลอมมากขึ้น และเห็นจุดจบอันแสนสิ้นหวังของเรียวตะและครอบครัวโนโนมิยะมากขึ้น
ส่วนครอบครัวไซกิเองแม้จะให้เป็นภาพแทนครอบครัวบ้านนอกที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น มีเวลาแสดงความรักแก่ลูก ๆ เต็มที่ และยังไม่ถูกทุนนิยมแปดเปื้อนมากนัก ประหนึ่งเป็นครอบครัวตัวอย่างที่ให้เรียวตะได้เรียนรู้การเป็นพ่อคนและการปฏิบัติกับคนอื่นอย่างมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน แต่ก็ใช่ว่าครอบครัวไซกิจะบริสุทธิ์เป็นพ่อพระไปเสียทั้งหมด เพราะยูดาอิเองก็ยังตาลุกวาวเมื่อเห็นช่องทางฟ้องร้องเพื่อจะได้เงินจำนวนมาก หรือตื่นเต้นกับอาหารราคาแพง หรือคำพูดของเขาที่ว่า "ถ้าจะแสดงความจริงใจก็ต้องจ่ายด้วยเงิน" ซึ่งก็ไม่ต้องตีความอะไรอีก รวมถึงตัวละครอื่น ๆ เช่นนางพยาบาลคนสลับลูกที่ก่อเหตุเพราะความอิจฉาในความร่ำรวยเพียบพร้อมของครอบครัวโนโนมิยะ นั่นคือไม่ว่าจะดีหรือเลวแค่ไหน ทุกคนก็ดูเหมือนจะอยู่ในวังวนทุนนิยมไม่ต่างกัน สุดท้ายแล้วการจบที่เหมือนจะแฮปปี้ ทว่าซุกขยะไว้ใต้พรมของหนังเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นบทสรุปที่ผู้กำกับอยากจะถามทิ้งท้ายไว้ว่า เราจะอยู่กันแบบนี้ต่อไปจริง ๆ หรือ
ไม่แน่ว่าที่สุดแล้ววันหนึ่ง ครอบครัวโนโนมิยะที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์พร้อมในโลกทุนนิยม ทว่าโครงสร้างภายในเปราะบางอย่างยิ่ง อาจจะต้องถูกบีบให้จนตรอกและนำไปสู่บทสรุปอันแสนเศร้าไม่ต่างจากครอบครัวที่แตกร้าวในจุดต่ำสุดของโลกทุนนิยมเลย ดังที่ผู้กำกับได้กล่าวไว้ในฉากที่โนโนมิยะ มิโดริ ไปรับเคตะกลับมาที่บ้าน เธอชวนลูกว่าเราหนีไปจากที่นี่เถอะ เมื่อเคตะถามว่าไปไหน เธอบอกว่าไปใน "ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก" (Nobody Knows) เสมือนหนึ่งเป็นการเกริ่นการณ์ (foreshadow) ว่า หากเรายังอยู่กันไปแบบนี้ ไม่ช้าทุนนิยมจะพาสังคมญี่ปุ่นไปสู่จุดจบแบบเดียวกับใน Nobody Knows ภาพยนตร์โศกนาฏกรรมเรื่องเก่าของเขา ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของทุนนิยมก็ตามที
-----------------------------------
ส่วน The Hunger Game: Catching Fire ภาคต่อของ The Hunger Game อันนี้ก็คงไม่ต้องตีความสัญลักษณ์มากมาย เพราะมันก็บอกโต้ง ๆ อยู่แล้วว่าเรากำลังสู้กับระบบของอะไร ไม่ว่าจะเป็นการใส่ฉากความแร้นแค้นของเขตบ้านนอกต่าง ๆ สลับกับฉากการกินให้อ้วกของพวกชนชั้นสูงเพื่อจะกินต่อ เหมือนฉายภาพสังคมฝรั่งเศสก่อนการเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสอะไรทำนองนั้น ส่วนฉากที่อลังการที่สุดคือฉากการยิงธนูขึ้นฟ้าของแคทนิส เป็นสัญลักษณ์การลุกฮือต่อระบบของผู้ถูกกดขี่ โหมโรงก่อนการปฏิวัติได้อย่างสุดยอดและสมบูรณ์แบบ ภาคนี้คือการขมวดปมของเกมล่าชีวิตไปสู่การปฏิวัติและล้มล้างแคปิตอล ภายหลังฟันเฟืองชิ้นสุดท้ายของระบบการปฏิวัติมาถึง นั่นคือแคทนิส ผู้มีหน้าที่เป็น The Messiah หรือพระผู้ช่วยให้รอด หรือผู้ปลดปล่อย ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนลุกฮือขึ้นปฏิวัติ เช่นเดียวกับ The One อย่าง Neo ใน The Matrix น่าเสียดายว่าในหนังไม่ได้ให้รายละเอียดเรื่องสำคัญ ๆ ที่จะชวนให้เราเชื่อได้ว่าแคทนิสนี่แหละเหมาะสมที่สุดในการเป็นผู้ปลดปล่อย ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังของแคทนิส หรือความหมายของนกม็อกกิ้งเจย์ที่ชาวแคปปิตอลขยะแขยงนักหนา ฯลฯ เข้าใจว่าผู้กำกับคงอยากจะทำภาคแรกเพื่อขายแอ็คชั่นให้ดังติดตลาดไว้ก่อน เนื้อเรื่องบางส่วนจึงไม่ได้กล่าวถึง แต่จุดนี้ก็ย้อนมาทำร้ายการเล่าเรื่องในภาคสองอยู่พอสมควร
น่าสนใจว่าไม่ว่าจะเป็นแคทนิสหรือนีโอ ล้วนแต่เป็นผู้ปลดปล่อยที่ไม่ตระหนักรู้หรือไม่ยอมรับในความสามารถของตนเองมาก่อนว่าจะเป็นผู้นำการปฏิวัติได้ ทว่าด้วยกลไกหรือระบบบางอย่างก็ทำให้พวกเขากลายมาเป็นผู้ปลดปล่อยในที่สุดไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ จึงน่าคิดว่าแท้จริงแล้ว "การปฏิวัติ" หรืออะไรก็ตามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อทุนนิยม เป็นกลไกที่เกิดมาเพื่อต่อต้านระบบ หรือเป็นเพียงระบบย่อยระบบหนึ่งที่หลอกให้มนุษย์มีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปกับ The Messiah หรือ The Revolutionist เพื่อจะทนการกดขี่ของระบบใหญ่ที่ควบคุมเราอยู่ต่อไปได้ (มองในแง่นี้ หากเปรียบทุนนิยมเป็นศาสนา มันก็เป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจที่สุดนับแต่โลกนี้ถือกำเนิดมา) ดังความจริงที่นีโอได้ค้นพบเมื่อเจอสถาปนิกแห่งเมทริกซ์ในภาค Reloaded (และก็ชวนคิดไปอีกว่า จะจบแบบเดอะเมทริกซ์ไตรภาคหรือเปล่า ไม่นะ!!!)
แต่ก็ใช่ว่าลำพังตัวแคทนิสเองจะก่อให้เกิดการปฏิวัติได้ ตัวระบบที่จวนจะพังมิพังแหล่นั่นก็เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาหนึ่งที่ทำให้เกิดการบ่อนทำลายขึ้นภายใน มีคนมากมายพร้อมจะทรยศหักหลัง ปธน. สโนว์ตลอดเวลา (ชื่อแกเหมือนสโนว์บอลล์ หัวหน้าหมูทรราชใน Animal Farm เลยนะ 55) เหมือนจะย้ำปรัชญาการปฏิวัติว่าความสำเร็จของการปฏิวัติไม่มีทางเกิดจากพลังบริสุทธิ์ของประชาชน แต่เกิดจากตัวระบบที่จวนเจียนจะพังและการบ่อนทำลายภายในเป็นปัจจัยสำคัญ เช่นเดียวกับการที่นีโอร่วมมือกับนครเครื่องจักรยุติสงคราม เพราะโปรแกรมนายสมิธเกิดปัญหาจนนครเครื่องจักรควบคุมไม่ได้ ดังที่แคทนิสพูดกับ ปธน.สโนว์ว่า "ระบบนั่นมันคงเปราะบางมากสินะ จึงล่มสลายได้ด้วยเบอร์รี่พิษเพียงไม่กี่ลูก"
ทั้ง Like Father, Like Son และ The Hunger Game: Catching Fire แม้จะกล่าวถึงเรื่องราวทุนนิยมในแง่มุมต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นร่วมกันคือ "ความเปราะบาง" ของสังคมทุนนิยม แม้ว่าโครงสร้างภายนอกอาจจะดูทรงอำนาจมากกว่าโครงสร้างใด ๆ แต่ความไร้รากเหง้า ความไม่มั่นคง การถูกกดขี่และความเจ็บปวดของผู้อยู่ใต้ระบบนั่นเองที่จะเป็นระเบิดรอเวลาจุดชนวน และโครงสร้างอันเปราะบางนี้พร้อมจะล่มสลายได้ทุกเมื่อ เพียงแค่รอเวลาการปรากฏตัวขึ้นของความจริงเล็กน้อย หรือสิ่งเล็ก ๆ บางสิ่งที่จะสั่นคลอนจิตใจของผู้คน ซึ่งเปรียบเสมือนไม้ขีดไฟเพียงก้านเดียวที่จะจุดชนวนระเบิดนั้น
เรื่องราวอื่น ๆ จำพวกการล้มล้างระบบอะไรนั่นไม่วิเคราะห์มากหรอก เพราะคงมีคนพูดไปเยอะมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะได้ยินข่าวว่ามีน้องเทพคนหนึ่งกำลังทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ขึ้นแท่นวิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยมเลยเชียว รออ่านเล่มนั้นอย่างใจจดใจจ่อดีกว่า 55
-----------------------------------
แม้ผมจะบอกไปว่า Like Father, Like Son จะจบแบบซุกขยะใต้พรม หรือรีบจบไปหน่อยก็ตามที แต่ก็เป็นหนังหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เรียกน้ำตาจากผมในโรงหนังได้ (นี่ขนาดยังไม่บิ้วต์ไปให้สุดนะ 555) อาจเป็นเพราะผมดันสิ้นหวังไปกับตอนจบที่ผู้กำกับไม่ได้ใส่เอาไว้ก็เป็นได้ ส่วน The Hunger Game: Catching Fire นั้นก็ดีทั้งเนื้อหาและวิธีการเล่า รวมถึงฉากแอ็คชั่นและสเปเชียลเอฟเฟคที่น่าตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจด้วยพลังของทุนนิยม สมกับเป็นหนังต่อต้านทุนนิยมประเภทเอาหอกสนองคืนผู้ใช้ 555 ทั้งสองเรื่องไม่เสียดายเงินแน่นอนครับ แต่ว่ามันก็จวนจะออกโรงทั้งสองเรื่องแล้วนี่นา (ฮา)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น