:: พื้นที่รวบรวมงานเขียนเก็บเล็กผสมน้อยเป็นไทม์แมชชีนความรู้สึกของวันวาน ::
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
Synecdoche, New york : the epic of SMALLEST things and the Death of Director
หมายเหตุก่อนอ่าน
1. เปิดเผยเรื่องราวในภาพยนตร์
2. เขียนขึ้นจากความทรงจำหลังการชมเพียงหนึ่งรอบ อาจมีคำพูด ฉาก หรือตัวละครคลาดเคลื่อนไปบ้าง
3. ก่อนอ่าน ควรชมภาพยนตร์อย่างน้อยหนึ่งรอบ เนื่องจากลำดับเรื่องและกลวิธีการเล่าเรื่องซับซ้อนพอสมควร ทำให้ผู้เขียนซึ่งยังอ่อนประสบการณ์ไม่อาจเล่าเรื่องตามลำดับให้เข้าใจได้ง่าย
4. ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
--------------------------------------------
หลังจากโดน Synecdoche, New york ภาพยนตร์ฝีมือการกำกับเรื่องแรกของของนักเขียนบทมือฉมัง Charlie Kaufman เขย่าเสียจนนอนไม่หลับ เลยคิดว่าต้องลุกขึ้นมาเขียนถึงเรื่องนี้เพื่อบำบัดใจสักหน่อย
จะเริ่มเล่าเรื่องย่ออย่างไรดี? เอาเป็นว่ากล่าวอย่างรวบรัดละกัน (อยากอ่านเรื่องย่อเต็ม ๆ ก็เสิร์ชหาในเน็ตนะ 55) เป็นเรื่องราวของ เคเดน โคดาร์ด ผู้กำกับละครเวทีที่มีชื่อเสียง วันหนึ่งเขาต้องเผชิญหน้ากับโรคประหลาดที่ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเขาทำงานผิดปกติทีละอย่าง ๆ ขณะที่เขาเผชิญโรคร้าย อเดล ภรรยาของเขาก็ทิ้งเขาไปและไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในนิวยอร์ก โดยนำลูกสาวคือโอลีฟไปด้วย ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจทิ้งทุกอย่างในชีวิต และนำเงินที่ได้มาจากกองทุนเพื่อเนรมิตโกดังขนาดยักษ์ในนิวยอร์กให้กลายเป็นสถานที่แสดงละครเวทีซึ่งจะเป็นละครที่ถ่ายทอดตัวตนของเขาออกมาได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด
ลำดับเรื่องอันอลหม่าน
Kaufman เริ่มเรื่องโดยการใช้ลำดับเวลา ลำดับสถานที่ และลำดับเหตุการณ์อย่างปั่นป่วนในสิบนาทีแรก เริ่มด้วยฉายให้เห็นชีวิตของเคเดนที่อลวนด้วยเสียงโทรทัศน์ เสียงอ่านบทกวีในวิทยุ เสียงร้องเพลงของลูกสาว การเปิดหนังสือพิมพ์ที่เพียงแค่พลิกหน้า วันที่ในหนังสือพิมพ์ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ลูกสาวของเขาบอกว่าเป็นวันอังคารแต่แม่กลับตอบว่าเป็นวันศุกร์ การไปพบหมอเพื่อเย็บแผลแตก แต่เมื่อหมอเย็บแผลของเขาเสร็จก็แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์ ตามด้วยหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องสมองและสุดท้ายก็ลงเอยที่จิตแพทย์ แล้วภาพก็ตัดสลับมาที่ละครเวทีที่เขากำกับ ซึ่งในละครเวทีเรื่องดังกล่าวมีทั้งฉากไปทำงาน ฉากขับรถชนกำแพง และฉากที่นอนรวมอยู่ในเวทีเดียว คล้ายจะบอกไวยากรณ์ของหนังกลาย ๆ ว่าจากนี้ไป ลำดับเวลา ลำดับสถานที่ และลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องจะเป็นเสมือนละครเวที นั่นคือมีทุกฉาก ทุกสถานที่ ทุกเหตุการณ์ และทุกลำดับเวลาปรากฏอยู่ในพื้นที่เดียวกัน (เช่นเดียวกับบทละครกรีกที่ Space-Time สามารถข้ามลำดับเวลานับร้อยปีหรือการเดินทางหลายหมื่นกิโลเมตรเพียงชั่วลัดนิ้วมือ) ขึ้นอยู่กับว่าผู้กำกับจะเลือกฉายแสงไฟเข้าไปในฉากใด
ไวยากรณ์ของหนังข้อนี้ถูกย้ำเตือนอยู่เรื่อย ๆ ตลอดแทบทุกฉาก เช่นฉากที่เคเดนบอกว่าภรรยาเพิ่งทิ้งไปอาทิตย์เดียว แต่ชู้รักของเขาบอกว่านี่ผ่านมาสองปีแล้ว การก่อตั้งกองละครเวทีที่ดูเหมือนประเดี๋ยวประด๋าว ขณะที่เคเดนกำลังพูดถึงพล็อตใหม่ที่เพิ่มเข้ามา มีคนในกองถามว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาดู เพราะนี่ผ่านไปนานถึง 17 ปีแล้ว! บ้านของฮาเซล สาวขายตั๋วที่เป็นชู้รักของเคเดน ซึ่งตัวบ้านลุกติดไฟอยู่ตลอดเวลา แต่หลายครั้งที่มองเห็นห้องเปล่า ๆ และเตียงนอนเท่านั้น ดูเหนือจริงจนคล้ายจะเป็นเพียงฉากหนึ่งในละครเวทีมากกว่าบ้าน หรือแม้แต่บันทึกของลูกสาวที่ดูเหมือนว่าจะมีหน้าบันทึกเพิ่มขึ้นทุกวันจนถึงวัยสาว แม้เขาจะพบบันทึกนี้ตอนที่ภรรยาเพิ่งจะพาลูกสาวที่ยังเล็กหนีไป ลำดับเวลาและเหตุการณ์อันอลหม่านนี้ มองผิวเผินอาจดูว่าเคเดนนั่นแหละบ้าที่จำไม่ได้ แต่ถ้าดูจากไวยากรณ์เรื่องแล้ว นี่คือการเลือกฉายแสงลงที่ฉากบางส่วนในละครเวที ซึ่งล้วนแต่เป็นเศษเสี้ยวบางส่วนในชีวิตของเคเดนนั่นเอง
สิ่งยิ่งใหญ่กระจ้อยร่อย
ขณะที่ละครเวทีของเคเดนดูเหมือนจะเป็นงานชิ้นยิ่งใหญ่มหึมา งานของอเดลภรรยาคนแรกดูเหมือนจะเป็นงานชิ้นกระจ้อยร่อย คือการวาดภาพขนาดเล็กมาก ต้องใช้แว่นขยายส่องดูจึงจะเห็นรายละเอียดภาพ แต่แท้จริงแล้ว งานศิลปะของทั้งคู่ต่างเป็นกระจกสะท้อนกันและกันให้เห็นชัดเจนขึ้น
ละครเวทีของเคเดนเนรมิตโกดังขนาดใหญ่กลางนิวยอร์ก พรั่งพร้อมด้วยฉากต่าง ๆ มากมายในนั้น ทว่ามันก็มีไว้เพื่อแสดงสิ่งที่กระจ้อยร่อยเหลือเกิน นั่นคือชีวิตของเคเดนที่สุดท้ายแทบไม่มีความหมาย ขณะที่ภาพเล็ก ๆ ของอเดล กลับรวบรวมความหมายของชีวิตในชั่วขณะหนึ่ง ๆ ไว้อย่างครบถ้วน ไม่มีการใช้พื้นที่และการเติมสีอย่างเปล่าเปลือง
นอกจากนั้นภาพวาดของอเดลเท่าที่เราได้เห็นคือภาพของคนสำคัญในชีวิต ราวกับว่าเธอเรียนรู้ว่าอะไรคือแก่นสาร (Essence) ที่ตนเองอยากจะยึดถือ ขณะที่สเกลอันยิ่งใหญ่ของละครเวทีของเคเดนกลับเปล่าโหวงด้วยคนที่สำคัญบ้างไม่สำคัญบ้างเดินอยู่ทั้งในฉากและในสตูดิโอ เช่นเดียวกับในชีวิตจริงของเขาที่บอกว่ามีคนสำคัญสำหรับเขา แต่ก็เป็นเขาเองนั่นแหละที่ทำให้คนสำคัญหลุดลอยไป
การทำสตูดิโอหรือโรงละครขนาดยักษ์ของเคเดนเพื่อจะพบความจริงอันแสนกระจ้อยร่อย แท้จริงแล้วเหมือนหรือต่างอย่างไรจากการวาดภาพขนาดเล็กกระจ้อยร่อยของอเดลแต่แฝงความหมายอันยิ่งใหญ่ของชีวิตเอาไว้?
ใครกำกับชีวิตใคร
แน่นอนว่านี่คือเรื่องราวของเคเดนซึ่งเป็นผู้กำกับละครเวที และลำดับเวลาหรือลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงแรกล้วนเป็นฝีมือการกำกับของเขาเอง แต่ Kaufman ก็ทิ้งไวยากรณ์อีกข้อไว้ในเรื่องเป็นระยะ ๆ นั่นคือตัวเคเดนเองก็ถูกกำกับอยู่เช่นกัน เช่นการต้องไปหาหมอโดยคำสั่งหมออีกคนไปเรื่อย ๆ การคบกับฮาเซล พนักงานขายตั๋ว ที่เมื่อแรกจีบเธอ เธอเป็นคนบอกบทให้เขาพูด รวมถึงบอกให้เขาทำอะไรต่าง ๆ เช่น คุกเข่าขอความรัก การที่เคเดนไม่อยากมีเซ็กซ์หลังจากงานศพของแม่ แต่ชู้รักอีกคนก็เร่งเร้าจนเขาต้องยอม หนังสือของจิตแพทย์สาวที่มีบทบอกให้เขาทำสิ่งต่าง ๆ และเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่หนังสือเขียน ส่วนฉากที่เขาถูกกำกับที่น่าสะเทือนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นฉากที่ลูกสาวของเขาใกล้จะตาย และเขาต้องพูดตามบทที่ลูกสาว (ที่ถูกชู้รักของเธอหลอก) กำหนดให้ว่าเขาเป็นเกย์และทิ้งแม่ไปอยู่กินกับผู้ชายเพื่อให้ลูกสาวจากไปอย่างสงบ
เช่นเดียวกับการเป็นผู้กำกับที่พยายามสร้างละครเวทีเรื่องราวของเขาเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ บทบาทผู้กำกับของเขากลับลดน้อยและพร่าเลือน เขาหานักแสดงมาเล่นเป็นตัวเขาเอง แต่เขาก็ไม่อาจกำกับให้นักแสดงเลิกจีบภรรยาคนปัจจุบันในชีวิตจริงของเขาได้ นอกจากนั้น เขาเองต่างหากที่ถูกเคเดนที่เป็นนักแสดงมากำกับชีวิตเขาเมื่อนักแสดงยื่นที่อยู่ของภรรยาเก่ามาให้เขาเดินทางไปตามหา และในที่สุดเขาก็ไม่สามารถกำกับให้เคเดนที่เป็นนักแสดงอยู่ในบทของเขาเองได้จริง ๆ ในฉากที่ชีวิตจริงเขาพยายามฆ่าตัวตายแต่ถูกใครคนหนึ่งช่วยไว้ แต่เมื่อนักแสดงอกหักและฆ่าตัวตายกลับไม่มีใครช่วยนักแสดงเหมือนในชีวิตจริงของเขา
จะว่าไปแล้วตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ล้วนถูกความเจ็บปวดหรืออะไรบางอย่างกำกับอยู่ทั้งสิ้น เคเดนถูกความป่วยไข้ทั้งทางกายและทางใจจากที่ถูกภรรยาทิ้งเป็นเครื่องกำกับให้เขาสร้างละครเวทีเรื่องใหม่ อเดลถูกความเจ็บปวดและผิดหวังจากตัวเคเดนกำกับให้เนรเทศตัวเองออกไปจากชีวิตของเคเดน โอลีฟลูกสาวถูกความเจ็บปวดจากความผิดหวังในตัวเคเดนกำกับเอาไว้จนวาระสุดท้ายของชีวิต ดังที่ชู้รักของเธอหลอกเอาไว้เพื่อให้เธอตัดใจและกีดกันไม่ให้พบเคเดน เช่นเดียวกับผู้หญิงของเคเดนทุกคนที่ต่างมีชีวิตพลิกผันไปเมื่อได้คบหากับเคเดน
หรือแท้จริงแล้วเราต่างกำกับชีวิตของกันและกันไว้ด้วยความเจ็บปวด
เศษซากของตัวตน
นอกจากความอลหม่านของเรื่องและชะตากรรมของตัวละครที่ปวดร้าว เศษซากเหตุการณ์ สถานที่ และเวลาที่เคเดนฉีกออกเป็นส่วน ๆ แล้วดึงเราเข้าไปร่วมในฉาก พร้อมกันนั้นก็ดึงเราออกมาเป็นคนดูในฐานะผู้กำกับก็ชวนให้คนดูฉงนได้ไม่แพ้กัน
นับเนื่องแต่ฉากแรก เคเดนหมกมุ่นอยู่กับตนเองมาก เห็นได้จากขณะที่เขาดูโทรทัศน์ในแต่ละฉาก จะมีหน้าของเขาปรากฏเป็นตัวละครในโทรทัศน์อยู่เสมอ เช่นเดียวกับอาการป่วยของเขาที่จำเพาะเจาะจงต้องเป็นอาการที่อวัยวะอัตโนมัติผิดปกติ เช่น น้ำลายไม่ไหล ไม่มีน้ำตา ควบคุมการสั่นของขาไม่ได้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกถึงตัวตนของเขาชัดเจนขึ้นอีก เพราะต้องคอยบังคับอวัยวะอัตโนมัติเหล่านี้ให้ทำงานอยู่ตลอดเวลา
ทว่าตัวตนของเคเดนเริ่มแตกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เคเดนเอาจริงเอาจังกับการสร้างสตูดิโอในโกดังขนาดยักษ์ เขาจำลองแต่ละฉาก แต่ละเหตุการณ์ในชีวิตไว้ในโกดัง หาคนมาแสดงเป็นตัวเขา พร้อมกันนั้นก็ยืนกำกับอยู่ข้างนอก ทว่าเส้นแบ่งระหว่างเคเดนและคนที่แสดงเป็นตัวเขาเองกลับพร่าเลือนลงเรื่อย ๆ เช่นในวันหนึ่งเขาสืบที่อยู่อเดล ภรรยาคนแรกมาได้ เขาจึงออกไปตามหาห้องของเธอ และพบกับหญิงชราแปลกหน้าที่อ้างว่าเป็นเพื่อนข้างห้องของอเดลและให้กุญแจห้องมา เมื่อเขาเข้าไปในห้องก็พบว่าเธอทิ้งโน้ตให้ทำความสะอาดให้ด้วย ทั้งที่เป็นเรื่องในชีวิตจริงแต่ทุกอย่างกลับเหมือนมีบทกำหนดไว้แล้วและเขาเองนั่นแหละต้องแสดงตามนั้น
เมื่อเขากลับมาที่บ้านของภรรยาคนใหม่ เขาโกหกเพื่อให้เธอสบายใจ แต่คนที่แสดงเป็นตัวเขาในฉากเดียวกันนี้กลับพูดความจริงว่าเคเดนไปทำความสะอาดที่บ้านภรรยาคนเก่า นั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ภรรยาใหม่จากเขาไป ฉากนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความพร่าเลือนของเคเดนและคนที่แสดงเป็นเคเดนว่าแท้จริงแล้วใครคือนักแสดงและอะไรคือการแสดง ระหว่าง "เคเดนตัวจริง" ที่ "โกหก" ภรรยาใหม่ หรือ "เคเดนนักแสดง" ที่ "พูดความจริง" กับภรรยาใหม่ที่เป็นนักแสดง
การรื้อสร้างเพื่อถอดถอนอัตตา
ขณะที่กำลังมึนงงอยู่กับความพร่าเลือนของตัวตนที่กำลังสลายลงไปเรื่อย ๆ Kaufman ก็บิดเรื่องให้ดูเหมือนจะเข้าสู่ไคลแม็กซ์ เมื่อเคเดนที่เป็นนักแสดงกระโดดตึกตายจริง ๆ ในฉากที่เคเดนตัวจริงเกือบจะกระโดดตึกแต่มีคนช่วยไว้ พวกเขาทำพิธีศพให้เคเดนนักแสดง และเคเดนก็ดูเหมือนจะพบสัจธรรมที่เป็นแก่นของหนังเรื่องนี้คือตัวตนของเขาไม่มีอยู่จริง แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ฉากนี้ก็กลับกลายเป็นฉากในละครเวทีที่มีเคเดนตัวจริงยืนกำกับอยู่ข้างนอกพร้อมกับนักแสดงเป็นเคเดนคนใหม่ ฉากที่ควรจะเป็นไคลแม็กซ์ของหนังกลับกลายเป็นฉากหนึ่งในละครเวทีของเคเดนเท่านั้น
หลังจากฉากนี้ Kaufman ค่อย ๆ ให้เคเดนถอยห่างจากบทบาทผู้กำกับออกไปเรื่อย ๆ โดยมีคนที่รับบทเป็นคนทำความสะอาดมารับบทเป็นผู้กำกับแทน ส่วนเขาออกไปรับบทเป็นคนทำความสะอาด แล้วฉากงานศพที่ดูเหมือนจะเป็นไคลแม็กซ์นี้ก็วนซ้ำกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ประโยคสรุปแก่นเรื่องที่เคยออกจากปากของเคเดน กลับเป็นบาทหลวงคนหนึ่งที่ได้บทพูดนี้ไป โครงสร้างของหนังและละครเวทีซึ่งเป็นอัตตาแท้จริงของเคเดนเริ่มพังทลายจากการถูกรื้อสร้าง (Deconstruction) ครั้งแล้วครั้งเล่า
และนับจากฉากนี้ไป ละครเวทีซึ่งบอกเล่าชีวิตของเคเดนกลับดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีเคเดน (ซึ่งกำลังรับบทเป็นคนทำความสะอาด) กำกับอีกต่อไปแล้ว นั่นคือ "เรื่องของเคเดน" ไม่จำเป็นต้องมีเคเดนก็ยังดำเนินเรื่องต่อไปได้ และเคเดนจะค่อย ๆ ถอยห่างออกไปจากชีวิตตนเองเรื่อย ๆ จากนี้ไปผู้ชมจะเริ่มสับสนกับชื่อตัวละครและบทบาทที่แต่ละตัวจะได้รับแล้ว คำว่า "I" ที่เคเดนพูดจึงคลุมเครือขึ้นเรื่อย ๆ อาจหมายถึงเคเดน หมายถึงคนทำความสะอาด หรือหมายถึงใครก็ได้ในเรื่องนี้
ในตอนท้ายเรื่อง เมื่อเขาถอยห่างออกมาจากตัวตนจนลมหายใจของเขาแทบจะไม่ได้หมายถึงใครแล้ว เขาก็ได้พบกับโน้ตของอเดลภรรยาคนแรกที่บอกเล่าถึงความเจ็บปวดต่าง ๆ ในชีวิตที่ได้เผชิญมา เขาจึงได้เรียนรู้ว่า ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสับสนของเขานั้นช่างกระจ้อยร่อย แท้จริงแล้วชีวิตที่แต่ละคนล้วนเป็นตัวเอกของตัวเองต่างก็มีความเจ็บปวดไม่ต่างจากเขาเลย
ในที่สุดแล้ว เขาเดินทางออกมาจากอัตตาของตัวเองจนไกลสุดกู่ นับแต่ฉากที่เขาพูดเรื่องความไร้ตัวตน (ตอนที่เขาพูดในงานศพนักแสดงคนแรก) ทั้งที่เขาควรจะเรียนรู้เรื่องนี้นับแต่วินาทีที่พูดประโยคนั้นแล้ว แต่เปล่าเลย เขาเพิ่งจะเข้าใจมันจริง ๆ ก็ต่อเมื่อเดินทางมาถึงวินาทีสุดท้ายของหนังเท่านั้น นั่นคงจะเป็นเพราะว่า การพูดว่าไร้ตัวตนนั้นพูดไม่ยาก แต่กว่าจะถ่องแท้ในประโยคดังกล่าว จะต้องใช้การรื้อสร้างเพื่อถอดหลายต่อหลายสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นตัวตนของตัวเองไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น
the epic of SMALLEST things and the Death of Director
Charlie Kaufman ได้สร้างงานระดับ epic ขึ้นอีกหน้าหนึ่งในวงการภาพยนตร์ Synecdoche, New york เป็นภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตทั้งด้วยสเกลเรื่องเล็กนิดเดียวและยิ่งใหญ่มหึมาไปพร้อมกัน แม้จะเป็นเพียงชีวิตเล็ก ๆ ชีวิตหนึ่ง แต่ก็เป็นมหากาพย์ที่หนักหน่วงเหมือนระดมคลื่นยักษ์เข้าใส่สมองและหัวใจไม่หยุดยั้ง เช่นเดียวกับความหมายของคำว่า Synecdoche ที่หมายถึงการพูดถึงบางส่วนเพื่อหมายถึงทั้งหมด การพูดถึงบางส่วนของชีวิตเคเดน อาจหมายถึงทั้งหมดของชีวิตเคเดน ทั้งหมดของชีวิตศิลปิน หรือกระทั่งทั้งหมดของชีวิตมนุษย์ ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น
การตั้งคำถามต่อตัวตน ความหมายของศิลปะและชีวิต ดูเหมือนจะเป็นคำถามที่ถามกันมาเนิ่นนานหลายศตวรรษ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้เขย่าให้เราลุกขึ้นตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา นอกจากนี้ การค่อย ๆ หายตัวไปของผู้กำกับและการสลายเส้นแบ่งระหว่างตัวละครต่าง ๆ นั่นคือการเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้แทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์อย่างไม่รู้ตัว เฉกเช่นคำประกาศเรื่องมรณกรรมของผู้แต่งของโรลอง บาร์ต ที่จากนี้ไปผู้ชมจะต้องเติมชีวิตของตนลงไปใน epic ของตนเองเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต
วุฒินันท์ ชัยศรี
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น