วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บทบันทึกเพื่อความเข้าใจตัวเอง หมายเลข ๑

๑. เราไม่ได้ไร้เดียงสาจนต้องดิ้นรนเห่อไปตามกระแสเรื่องการทำตามฝัน ใช่ว่าเราไม่เคยลอง แถมยังล้มมาหลายครั้งแล้ว เรารู้ว่าคนเหลวไหลไร้สาระอย่างเราคงทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ไม่สำเร็จหรอก เราแค่ไม่อาจนิ่งดูดายเมื่อเห็นตัวเองในอนาคตค่อย ๆ พังทลายความฝันด้วยมือตัวเองลงช้า ๆ อันที่จริงเราจะปล่อยให้มันพังลงไปเลยก็ได้ เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไรมากมาย เพียงแต่พอนึกถึงหน้าเพื่อนสนิทคนหนึ่งแล้ว หากวันหนึ่งเราบอกกับมันว่า "เฮ้ย กูเลิกแล้วว่ะ" เราว่าตัวเราเองนั่นแหละที่จะตายตาไม่หลับ

๒. เราไม่รู้ว่าเวลาที่ควรคิดถึงอนาคตอย่างจริงจังนี่คือตอนอายุเท่าไหร่ เราเคยพูดเรื่องนี้กับเพื่อนตอนอายุ ๒๖ เขาบอกว่ายังเร็วเกินไปที่จะคิดเรื่องนี้ หวังว่าถ้าเราพูดเรื่องนี้ตอนอายุเกิน ๓๐ แล้ว คงจะไม่โดนเพื่อนตอกหน้ากลับมาว่า มึงมาคิดอะไรเอาป่านนี้

๓. ถึงวันนี้เราเตรียมอุปกรณ์สำหรับปั่นจักรยานทางไกลเกือบครบแล้ว เหลือก็แค่ฟิตซ้อมกำลังขาและเตรียมพร้อมกำลังใจ ทว่าอันที่จริงเราลืมไปว่าควรต้องเตรียมชุดปะยาง สูบลมแบบพกพา และความรู้เรื่องการปะยางเบื้องต้นด้วย เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในการเดินทางอันยาวไกล แต่ก็นั่นแหละ เราก็ยังเป็นเราวันยังค่ำ เราคงไม่ยอมคิดเรื่องนี้หรือเตรียมให้พร้อม และมานั่งเศร้าเสียใจเมื่อยางรั่วกลางทางในจุดที่ห่างไกลจากร้านซ่อมไม่รู้กี่ร้อยกิโลเมตร

๔. เราคิดว่าสุดท้ายแล้วเราก็ต้องหกล้มซมซานกลับมาในวังวนเดิม ๆ ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เร็วเกินไปนัก อย่างน้อยก็ขอให้หลังจากเราได้เล่าเรื่องของเพื่อนที่เรารักที่สุดจบแล้วก็พอ ก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินไปและไม่มีโอกาสกลับมาแก้ตัว

๕. เรารู้ว่ามันอาจฟังดูน่ารำคาญสำหรับบางคน เรื่องที่เราชอบทำตัวเหมือนพระเอกหนังโศก แบบว่ามีบาดแผลในใจ ก้าวข้ามความเจ็บปวดไม่พ้นอะไรทำนองนั้น แต่จนถึงทุกวันนี้ บางคืนเรายังคงฝันร้าย และเรายังทำใจไม่ได้กับบางเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต

๖. บางครั้งการร้องไห้บ่อยกว่า ร้องเสียงดังกว่า ไม่ได้แปลว่าเสียใจมากกว่า อย่าคิดว่าคนอื่นไม่เสียใจกับการสูญเสีย เขาแค่เข้มแข็งมากพอจะไม่คร่ำครวญสามเวลาหลังอาหารเหมือนเรา

๗. อย่าไปคิดว่าตัวเองเก่งกาจมากพอจะแบกโลกได้ทั้งใบ สองไหล่ก็เล็กแค่นี้ เอาแค่แบกชีวิตตัวเองก็ยังลำบาก

๘. เราเองก็อยากมีคำตอบชัด ๆ ให้ครอบครัวบ้างสักเรื่อง แต่คำตอบที่เราคิดว่าชัดเจน ส่วนมากจะไม่มีใครได้ยิน

๙. เรารู้ว่าถ้าทำลืม ๆ ไปซะ เราคงใช้ชีวิตได้ง่ายกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ เรื่องบางเรื่องรู้แล้วก็ทำเป็นลืมไม่ได้

๑๐. อันที่จริงเราเกลียดตัวเองมากกว่าเกลียดระบบสักร้อยเท่าได้มั้ง แต่ก็อย่างว่าแหละ เรามักจะให้อภัยตัวเองก่อนอย่างอื่น ปัญหามันเลยวนเวียนมาทำร้ายเราไม่รู้จักจบสิ้น

๑๖ พ.ย. ๕๖

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น