วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ละครโรงใหญ่ของ "พลเมืองดี"

 

"พลเมืองดี" ไอเดียของเรื่องสั้นเรื่องนี้มาจากวันหนึ่งที่กำลัง "จนพล็อต" จะเดดไลน์แล้วเขียนอะไรส่งดีวะ ก็พอดีเหลือบไปเห็นวัตถุประสงค์การประกวดของรางวัลพานแว่นฟ้าข้อหนึ่งว่า

"เพื่อเสริมสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย"

เห็นแล้วก็นึกขำ "พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย" น่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่รัฐไทยทุกยุคทุกสมัยต้องการให้เกิดขึ้นกับประชาชนของตนเอง ไม่เช่นนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาคงไม่ลิดรอน กวาดล้าง ทำลายคนที่ "แหลม" ขึ้นมาต่อต้านโครงสร้างอำนาจอันบิดเบี้ยว ขณะเดียวกัน ใครที่ "เชื่อง" หรือเอื้อผลประโยชน์ให้แก่โครงสร้างอำนาจนั้น รัฐก็พร้อมจะเชิดชูให้เป็น "พลเมืองดี" เสมอ ไม่ว่าพฤติการณ์ส่วนตัวของคนคนนั้นจะต่ำช้าสักเพียงใด

เราจึงเห็นการถอดถอนรางวัลศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ไปจากคนที่ทำงาน "ยกระดับ" วรรณศิลป์ของประเทศมาทั้งชีวิต พร้อมกันนั้นก็เห็นข่าวการยกย่องเชิดชู "คนดี" ประเภทที่ใครเห็นก็ได้แต่ยิ้มมุมปากอย่างรังเกียจ

ลิเกโรงใหญ่ของ "โจ้" เมื่อคืน คงจะเปิดม่านภายหลังจากการ "ดีล" กันเรียบร้อยหมดแล้ว การก้าวพลาดและรีบรับความผิดเอาไว้คนเดียว น่าจะเป็นการเดินหมากที่ "ผู้ใหญ่" ในโครงสร้างอำนาจนี้พอใจไม่น้อย เพราะถ้าปล่อยไว้เนิ่นนานกว่านี้ หนองเน่าของระบบตำรวจที่เละเทะอยู่ข้างในคงจะถูกสาวไส้ไหลนองเหม็นคลุ้ง จะว่าไปโจ้ก็น่าจะเป็นพลเมืองดีในสายตาของพวกเขา อีกไม่นานก็คงจัดฉากให้รับผิด ติดคุกพองาม (หรือไม่ติดเลย) สรรสร้างคุณงามความดีระหว่างรับโทษและถูกปล่อยตัวออกมาพร้อมกับการยกย่องเชิดชู (รัฐไทยถนัดอยู่แล้วเรื่องการฟอกตัวอาชญากร เพราะขนาดคนติดคุกคดียาเสพติดยังกลายเป็นรัฐมนตรีได้)

"คลิปลับ" ที่พลเมืองดีถืออยู่ ตัวละครในเรื่องของผมคงโล่งใจที่ไม่ได้เอามันออกมาสาวไส้ "คนใหญ่คนโต" เรื่องจึงจบลงด้วยดี ไม่มีใครเสียอะไรไป ส่วนตัวละครผู้ปล่อยคลิปในลิเกโรงใหญ่ของโจ้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรที่คลิปของเขาซึ่งเสี่ยงชีวิตเอาออกมาเปิดเผยจะกลายเป็นมวยล้มต้มคนดูจากกระบวนการยุติธรรมอันบิดเบี้ยวในสังคม

แล้ว "พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย" ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน?

คำตอบคงจะเหมือนอาการของ "พลเมืองดี" ทั้งสองคนในตอนท้ายเรื่องว่า
--มันหลบตาผมเล็กน้อย ใช่ พูดแค่นี้ผมก็พอเข้าใจ ผมเองก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับมัน แต่ถึงผมไม่พูดมันก็คงเข้าใจ--

พวกเราแทบไม่จำเป็นต้องสื่อสารกันด้วยคำพูด แค่มองตากันด้วยแววตาสิ้นหวังก็เข้าใจ เพราะสังคมนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ตั้งคำถามไม่ได้ และป่วยการจะหาคำตอบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น