(1) เฮียหนวดร้านจักรยาน
เจ้าของร้านจักรยานแถว ๆ ที่ทำงานผมเป็นเฮียหนวดดูท่าทางดุ ๆ เวลาแกพูดผมแยกไม่ค่อยออกว่าแกพูดธรรมดาหรือแกคำราม
"บันไดจักรยานคู่ละ 80 บาท"
การตกลงซื้อขายเกิดขึ้นโดยผมเข้าใจว่าค่าแรงเปลี่ยนบันไดจักรยานคงรวมอยู่ในราคาสินค้าเรียบร้อยแล้ว เฮียหนวดเดินแบกเครื่องมือออกมาดึงบันไดอันเก่าทิ้ง ทว่าบันไดเก่านั้นเก่าเกินไป ระหว่างเกลียวข้อต่อเต็มไปด้วยสนิมเขรอะ เพียงแค่ประแจไม่พอหมุนมันออกมาง่ายดาย ต้องใช้ทั้งน้ำมันหล่อลื่น คีมล็อก และเหงื่ออีกหลายถังของเฮียกว่าการเปลี่ยนบันไดจักรยานจะเสร็จสิ้น ผู้นั่งดูอยู่เฉย ๆ อย่างผมเห็นต้นเหตุความเหนื่อยของแกมาจากจักรยานบุโรทั่งของผมจึงเอ่ยปากเสนอตัวช่วยแกบ้าง แต่แกคงเห็นว่าไขมันผมมีมากกว่ากล้ามจึงบอกว่าไม่เป็นไร ผมจึงถามราคาอีกครั้งเพราะเห็นว่าค่าบันไดจักรยานไม่ควรจะรวมอยู่กับค่าเสียเหงื่อสองถังของแกอีกต่อไปแล้ว
"80 บาท" แกยังยืนยันคำเดิม แถมยังช่วยขันน็อตเบาะหลังที่เริ่มหลวม และหยอดน้ำมันให้โซ่หมุนสะดวกขึ้นอีกต่างหาก
(2) วิชาชีพนักเขียน
ค่าแรงการใช้งานวิชาชีพนักเขียนของผม อัตราทั่ว ๆ ไปอยู่ที่หน้าละ 1,000 บาท (จัดหน้าปกติ ตัวพิมพ์ Cordia 16 Point) ซึ่งอัตรานี้รวมการหาข้อมูล การสัมภาษณ์ ฯลฯ ไว้แล้ว นอกเสียจากเป็นงานเชิงวิชาการที่ต้องหาข้อมูลลึกก็จะบวกค่าหาข้อมูลเข้าไปอีกนิดหน่อย ที่เหลือก็บวกลบตามแต่ความยากง่ายและระยะเวลาในการทำงาน แต่ส่วนมากจะโดนลบเสียมากกว่า (ไม่ฮา)
เท่าที่เคยถาม ๆ นักเขียนฟรีแลนซ์ท่านอื่น ๆ ก็ใช้อัตราประมาณนี้ หลายท่านคิดเงินต่อหน้าสูงกว่าผมด้วยซ้ำไป มันอาจเป็นแค่ "แค่หน้าละพัน" หรือว่า "หน้าละตั้งพัน" ก็แล้วแต่มุมมองและความเข้าใจของแต่ละคน
ที่สำคัญกว่านั้นน่าจะเป็นเรื่องของ "ความศรัทธาต่อวิชาชีพ"
เงินหนึ่งพันที่ร้องขอ ไม่ใช่เรื่องของการขูดรีด ความงกหรือหน้าเลือดอยากได้เงินเยอะ ๆ (อันที่จริงนี่ถือว่าเป็นราคาที่ถูกมากจนอาจเป็นการตัดราคาของเพื่อนร่วมวิชาชีพซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการผิดจรรยาบรรณ) แต่เป็นราคาที่แสดงว่าคุณมีความเคารพต่อวิชาชีพนี้มากพอ เมื่อคิดจะใช้คนที่มีมาตรฐานระดับหนึ่ง คุณก็ต้องพร้อมจะจ่ายราคามาตรฐานของวิชาชีพนี้ด้วย
มีหลายคนเข้าใจผิดว่า งานเขียนไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่มีพรสวรรค์ด้านขีด ๆ เขียน ๆ ไปนั่งหน้าคอม จิ้ม ๆ คีย์บอร์ดจนครบหน้าก็ได้เงิน แล้วจะเอาอะไรนักหนา
สำหรับผมแล้ว คำว่าพรสวรรค์ไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างเป็นเรื่องของการฝึกฝนและเคี่ยวกรำตัวเองอย่างหนัก เพียงหนึ่งประโยคที่เข้าใจง่าย ๆ เบื้องหลังของมันบรรจุการเคี่ยวกรำรูปประโยคผ่านการเรียนรู้หลายสิบปีและการอ่านหนังสือนับร้อยเล่ม แต่คนส่วนมากมักจะมองแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ไม่ได้มองว่าฐานที่อยู่ใต้น้ำนั้นมีขนาดใหญ่เพียงใด จึงมักจะตีราคางานเขียนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ถ้าเช่นนั้นการที่เภสัชกรคนหนึ่งนั่งประจำอยู่ในแผนกยา คอยรับใบสั่งยาแล้วเดินไปหยิบให้คนไข้ ก็ควรถูกตั้งคำถามทำนองเดียวกันว่า "ก็แค่นั่งสบายอยู่ในห้องแอร์ เดินไปหยิบยาแค่นั้น ทำไมให้เงินเดือนมากถึงสองสามหมื่น" นั่นแสดงว่าคนพูดไม่ได้มองถึงเบื้องหลังของเภสัชกรว่ากว่าจะได้มานั่งในห้องเก็บยา เขาต้องเรียนอะไรบ้าง ท่องจำชื่อสารเคมีมามากแค่ไหน มีความรู้เรื่องการวิเคราะห์ยามากเพียงใด มีองค์ความรู้มากมายแค่ไหนที่เขาต้องรู้ในฐานะเภสัชกร
เงินเดือนหลายหมื่นจึงมิใช่ค่าแรงที่มากเกินควร แต่คือการที่รัฐในฐานะนายจ้างเคารพต่อความรู้ความสามารถและแสดงความศรัทธาที่มีต่อวิชาชีพของเขา
วิชาชีพนักเขียนในสายตาของนายจ้างก็ควรจะเป็นเช่นนั้น
(3) ใครก็เป็นนักเขียนได้
แน่ล่ะ ใคร ๆ ก็เขียนหนังสือได้ แต่การเขียนหนังสือได้ "ดี" นั้น ไม่ใช่ใครจะเขียนได้ง่าย ๆ อย่าว่าแต่คนที่ไม่อยู่ในวงการเลย แม้แต่คนที่อ้างตัวเองว่าทำงานในวงการการเขียนเพื่อการสื่อสาร กระนั้นงานหลายชิ้นกลับอ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่อง รูปประโยควกไปเวียนมาจนน่าปวดหัว
ภาษาคือเครื่องมือสื่อสารความคิด ดังนั้นนักเขียนที่ดีไม่ใช่แค่ใช้ภาษาได้ดี แต่ความคิดในสมองต้องเป็นระบบมากพอจะสื่อสารให้คนอ่านเข้าใจได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายของการเขียนเพื่อการสื่อสาร เช่น การเขียนข่าว บทความ สารคดี บางครั้งการเขียนจึงไม่ใช่แค่การเล่นคำ แต่คือการประมวลข้อมูลทั้งหมดที่รับรู้และคัดเลือกเอาเฉพาะคำที่สื่อสารได้ออกมาเรียงร้อยกันเป็นประโยคหรือย่อหน้า เรียกให้ง่ายก็คือการ "ย่อยข้อมูล" เป็นข้อเขียนที่อ่านง่าย ดังนั้นนักเขียนที่เก่ง ๆ นอกจากจะต้องฝึกการเป็นนายของภาษาแล้ว พวกเขายังต้องฝึกจัดระบบความคิดของตัวเองอยู่เสมอ
ทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝน อาจกล่าวได้ว่าการฝึกฝนนั่นแหละคือต้นทุนของวิชาชีพนักเขียน
ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปีสาม ผมยังเขียนสารคดีไม่เป็น ผมฝึกฝน ช่วงปีสี่ผมยังเขียนเรื่องสั้นไม่เป็น แถมยังโดนค่อนขอดจากเพื่อนนักเขียนว่าอย่ามาสะเออะวิจารณ์งานของเขาถ้ายังเขียนเรื่องสั้นไม่เป็น จากนั้นผมก็เริ่มฝึกฝน
ไม่ใช่ว่าใครเกิดมาก็เขียนหนังสือเป็นเลย สำหรับผมแล้วการเขียนคือทักษะ และทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝน
ดังนั้นผมจึงปวดใจมากเวลาที่เพื่อนบางคนมาวานให้เขียนกลอนหรืออะไรทำนองนี้ให้บริษัทของเขา แล้วบอกว่า "กลอนแค่บทเดียวกอล์ฟไม่เหนื่อยอะไรหรอก กอล์ฟเขียนเก่งจะตาย"
ผมไม่ได้งกขนาดจะคิดเงินเพื่อนจากกลอนบทเดียว เพียงแต่อยากบอกให้เขารู้ว่ามันไม่ง่าย ไม่มีอะไรง่ายเลยสำหรับการเขียนทุกประเภท กลอนที่เขียนลงเฟซบุ้กบ่อย ๆ แน่ล่ะส่วนหนึ่งเป็นการระบายความในใจ แต่ส่วนหนึ่งของมันคือการฝึกฝนไม่ให้มือตก
งานที่ผมได้ราคาหน้าละพันเป็นปกติไม่มีอิดออด หรือถึงขนาดได้เงินบวกเพิ่ม ทั้งหมดเป็นงานที่นักเขียนหรือคนที่อยู่ในแวดวงการเขียนด้วยกันเป็นคนจ้างทั้งสิ้น เพราะพวกเขาเหล่านั้นต่างรู้ว่าการเขียนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
(4) ผู้ศรัทธาในวิชาชีพ
ตอนที่เฮียหนวดแกเดินไปเอาเงินทอนหลังร้าน ผมอยากจะขี่จักรยานหนีหายไปเลยและให้เงินทอนเป็นค่าเหงื่อสองถังของแก แต่สุดท้ายแกก็กลับมาเร็วกว่าที่คิดพร้อมเงินทอน
เวลาที่ผมไปซื้อของหรือใช้บริการอะไรทำนองนี้ ผมไม่ค่อยต่อราคา เพราะคิดว่าราคานี้เขาคิดไว้ดีแล้ว เหมาะควรแล้วต่อวิชาชีพของเขา ยิ่งได้เห็นเขาทุ่มเททำงานในสิ่งที่ผมจ้างเขาอย่างเต็มที่ ผมยิ่งไม่รู้สึกเสียดายกับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จ่ายไป แถมอยากให้เงินเขาเพิ่มด้วยซ้ำ นั่นเพราะผมศรัทธาคนที่ทำงานด้วยความศรัทธาในวิชาชีพของตน
ผมขี่รถจักรยานออกไปจากร้านด้วยความหวังว่า สักวันสิ่งที่เรียกว่า "วิชาชีพนักเขียน" จะได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่ามันมีอยู่จริง พร้อมค่าตอบแทนที่เหมาะสมแก่งาน มิใช่การดูถูกของนายจ้างและการยอมจำนนต่อเศษเงินที่ไม่สมควรเรียกว่าค่าแรงเหมือนที่เคยเป็นมา
วุฒินันท์ ชัยศรี
24 มีนาคม 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น