วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บางบทบันทึกถึงหญิงสาวห้อง 268


เธอขยับลูกบิดเพื่อความแน่นอนใจว่าล็อกประตูแน่นหนา ก่อนจะลั่นกลอนเสริมกุญแจขนาดที่ต้องใช้ชะแลงและมัดกล้ามฉกรรจ์ของหนึ่งหรือสองชายเพื่องัดมันออกหากลูกกุญแจหล่นหาย ไม่รู้ว่าสมบัติล้ำค่าที่เธอซ่อนในห้องคืออะไร อาจจะเป็นทองห่อผ้าขี้ริ้ว เป็นไข่มุกเมื่อหล่นบนจานหยก เป็นเพชรยอดมงกุฎขององค์ราม

หรืออาจจะเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อใครสักคน

ผมทอดก้าวเชื่องช้าเผื่อการสบตาและยิ้มทักทาย แต่ก็เหมือนทุกครั้งที่ลงเอยด้วยการก้มหน้าก้มตาเดินอย่างไม่อินังขังขอบต่อเพื่อนร่วมตึกของเธอ มีก็แต่พี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างหน้าหอพักเท่านั้นที่ได้สบตาเธอมากกว่าผมยามที่เธอจำต้องมองค้อนหากพี่มอเตอร์ไซค์ทำเป็นเห็นผาดผ่าน

"ริจะเป็นนักเขียนต้องขี้เสือก" มิตรสหายร่วมอุดมการณ์น้ำหมึกและน้ำเมาหลุดหล่นวลีเลี่ยมทองไว้ในวงน้ำสีอำพันฝืดเฝื่อน แปลให้สละสลวยขึ้นมาหน่อยว่านักเขียนต้องรู้จักสังเกตชีวิตของคนรอบตัว แต่สำหรับเธอ ไม่ต้องสังเกตถึงขนาดเพ่งเล็ง เรื่องราวกึ่งลึกลับเกือบมิสทรี่ก็กระเด็นกระดอนเข้าคลองจักษุผมเป็นกระสาย

หญิงสาวปริศนาซุกซ่อนตัวเองอยู่ในห้อง 268 ซึ่งคือห้องเยื้องทางสามแพร่งที่บันไดชั้นห้าของหอพัก นั่นเป็นเหตุผลและข้อบังคับในการเดินผ่านห้องของเธอต่อให้ไม่มีเจตนาละลาบละล้วง กิจวัตรเธอเที่ยงตรงราวกับนาฬิกาสวิสฯ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความแม่นยำเสียยิ่งกว่าลูกดิ่งวัดองศาพีระมิดโบราณ

ผมเคยตั้งชื่อเล่นๆ ให้เธอว่าแม่สาวเจ็ดเช้าเจ็ดดึก เพราะเมื่อเข็มนาฬิกาเวียนมาที่เลข 7 เสียงไขประตูห้องนั้นจะดังขึ้น เธอพาตัวเองออกมาตรวจสอบความเรียบร้อยของลูกบิดที่หน้าประตู ก่อนจะขัดกลอนขังตัวเองไว้นอกห้อง จำเนียรกาลผ่านกว่าเข็มสั้นจะคืบคลานถึงเลข 7 อีกรอบ ภาพเดิมฉายทวนย้อน เธอพาตัวเองมาปลดปล่อยอิสรภาพของกุญแจ ก่อนจะปิดประตู ล็อกลูกบิด ลั่นกลอนภายในเก็บตัวเองไว้ดุจเดิม

ความรู้น้อยนิดผ่านสายตาขี้เสือกคือเธอเคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงจากเครื่องแบบที่สวมใส่ พ้นจากนั้นข้อมูลเธอคือหลุมดำปริศนา แม้แต่คณะที่เรียนยังคาดเดาไม่ถูก เพราะหนังสือทุกเล่มเก็บเรียบในกระเป๋าถือสีดำสนิทเหมือนสีของแววตาเฉยชายามเธอมองบันไดเก่าคร่ำคร่า แววตาที่ไม่เคยเปลี่ยนแม้เธอจะลอกเปลือกนักศึกษาสู่พนักงานออฟฟิศมาดเฉียบ

การพบพานไม่ผูกพันนับแต่วัยเรียนกระทั่งทำมาหาเลี้ยงชีวิตได้ชักนำเอาเรื่องราวของเธอมาสิงสถิตเป็นส่วนหนึ่งของก้อนภูเขาน้ำแข็งแห่งการคาดเดาและจินตนาการ ทั้งที่จุดโผล่พ้นยอดมีแค่เจ็ดเช้าเจ็ดดึกที่เราสวนทางกันบ้างเมื่อโชคชะตาหมุนเข็มความบังเอิญมาหาเป็นครั้งคราว

สวัสดีครับ ผมเห็นคุณมาตั้งแต่ตอนเรียนรามฯ แล้ว คุณชื่ออะไร ทำงานที่ไหนครับ เรียนรามฯ คณะอะไร อ๋อนี่ก็รุ่นน้องผมน่ะสิ - จิตวิญญาณความขี้เสือกของนักเขียนร่ำๆ จะง้างปากของกายหยาบเพื่อเอ่ยเอื้อนวจีเท้าความถึงวันแรกไล่มาถึงความค้างคาของวานวัน แต่เมื่อเสียงลั่นกลอนประตูของเธอดังและหนักแน่นพอๆ กับสายตาเงียบงันต่อคนแปลกหน้า นักเขียนขี้เสือกควรต้องม้วนเสื่อไปเสียก่อนจะถูกฟ้องว่าคุกคามความเป็นส่วนตัว

อย่าว่าแต่เริ่มต้นบทสนทนา แม้แต่รอยยิ้มที่มอบให้ก็ยังไม่มีสัญญาณตอบรับจากเป้าหมายที่ท่านส่ง

ใบหน้ารูปไข่ ผมยาวหยักศกปลาย ผิวน้ำผึ้งหนึ่งแดด จมูกเป็นสันโด่งสอดรับกับดวงตาคมสวย หัวคิ้วมีรอยยับย่นเล็กๆ เนื่องจากเธอมักจะผูกโบไว้ที่คิ้ว ซึ่งน่าจะเป็นทักษะพื้นฐานของเธอนอกเหนือจากการผูกเงื่อนมาตรฐานสมัยเรียนเนตรนารี - ผมควรจะเติมรายละเอียดของเธอนอกเหนือจากข้อมูลทั่วไปแทนที่จะปล่อยให้เธอเป็นตัวละครไร้หน้าตาอย่างที่เรื่องสั้นดาดๆ ของนักเขียนมือไม่ถึงชอบเขียนถึง แต่เมื่อรูปหน้าเหล่านั้นไม่มีฐานของเรื่องราวที่จะประกอบสร้างเป็นมนุษย์คนหนึ่ง คำพรรณนาลักษณะของใบหน้าก็กลายเพียงหมึกเปื้อนกระดาษรอการหลงลืม เช่นเดียวกับหญิงสาวห้อง 268 ในชีวิตของเราทุกคนที่โชคชะตาขีดเส้นมาให้รู้จักเพียงเลขห้อง ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น

เข็มนาฬิกาคืบคลานกลับมาที่เจ็ดดึก เสียงขัดกลอนข้างในดังพร้อมๆ กับเสียงล็อกลูกบิด เธอจะหันหับห้องร้องไห้ในที่นอนเหมือนนางลาวทองหรือนอนหัวเราะร่ากับมุกหูกระจงปัญญาอ่อนจากการรับชมเดี่ยวสิบเอ็ดก็สุดจะคาดเดา การพบพานทางสายตาของเราเกิดขึ้นชั่วพริบตาเหมือนการพัดผ่านของออกซิเจนจืดจาง เธออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสี้ยววินาทีที่แล้วมีสิ่งมีชีวิตขี้เสือกส่งสายตามองเธออย่างใคร่รู้ สำหรับเธอแล้ว ผมก็คืออุปกรณ์ประกอบฉากบันไดชั้นห้าซึ่งมีคุณค่ามากเท่ากับหินปลอมยับย่นบนฉากละครเวทีของเด็กประถมฯ

เรื่องราวของหญิงสาวห้อง 268 ยังคงเป็นมิสทรี่สีกลางคืนยามเดือนดับ ตราบเท่าที่โชคชะตาเปิดโอกาสให้คนแปลกหน้าได้รู้จักกันผ่านการบีบคั้นของความบังเอิญแต่ถ่ายเดียว บางทีหญิงสาวอาจลุกขึ้นมีชีวิตท่ามกลางหน้ากระดาษของผมได้ในสักวัน หากกุญแจชื่อความไว้เนื้อเชื่อใจหลุดหล่นออกมาพร้อมรอยยิ้มตอบกลับเบาบางเมื่อผมทักทายด้วยสายตาเฉกเช่นทุกคราครั้ง

แต่ผมกลับเชื่อเหลือใจว่า สักวันคือวันที่ไม่มีทางมาถึง

ธันวาคม ๒๕๕๘

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น